ชื่อสถานที่แปลก ๆ ขำ ๆ สนุก ๆ ในเมืองไทย
วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
10 สายพันธุ์สุนัขสุดแปลกของต่างประเทศ
10 สายพันธุ์ น้องหมาแปลก (Dogazine)
เรื่องโดย วันไชย เจียมภักดี
ปัจจุบัน มีสายพันธุ์สุนัขมากมายทั่วโลก ซึ่งสุนัขแต่ละสายพันธุ์ก็มีลักษณะเด่นไม่เหมือนกัน วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆมาทำความรู้จักกับ 10 สายพันธุ์ ที่แปลกไม่เหมือนใครกันค่ะ
1. อัฟกัน ฮาวนด์ (Afghan Hound)
อัฟ กัน ฮาวนด์ เป็นน้องหมาที่ท่วงท่าสง่างามประดุจเจ้าชายอาหรับก็ไม่ปาน ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งประกอบกับขนที่ยาวสลวยดุจแพรไหม หากสังเกตกันดี ๆ จะพบว่าลักษณะของมันมีความแตกต่างที่พสรุปได้ดังนี้ คือ ช่วงที่เป็นขนสั้นลัษณะเหมือนน้องหมาพันธุ์ Kirghiz Taigan ขอบขนจะเหมือนพันธุื Saluki ความหนาวและความยาวของขนจะเหมือนน้องหมาตระกูล Mountain dog
น้องหมาสายพันธุ์นี้ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1907 เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งในอดีตถือเป็นนักล่าด้วยสายตา โดยล่าสัตว์จำพวกกวาง หมาป่า และหมาจิ้งจอก นอกจากนี้ ยังถูกใช้ในการดูแลฝูงแกะ แต่ปัจจุบันนิยมเลี้ยงไว้อวดความสวยงาม สุนัข พันธุ์นี้มีนิสัยจำเพาะคือ ชอบความโดดเดี่ยว รักสันโดษ ท่วงท่าน่าเกรงขาม มีความสูงเฉลี่ย 64-74 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 23-27 กิโลกรัม และช่วงอายุราว 12-14 ปี
2. อเมริกัน พิตบูล (American Pitt Bull)
อเมริกัน พิตบูล เป็นสุนัขที่มีร่างกายแข็งแรงบึกบึน สง่างามด้วยกล้ามเนื้อทั้งตัวชัดเจน พละกำลังมหาศาล ปราดเปรียว เชื่อมันในตัวเอง และอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
จากประวัติศาสตร์ มนุษย์ค้นพบว่า สุนัขพันธุ์นี้เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อใช้ต่อสู้กับสุนัขด้วยกันเอง หรือกับสัตว์ประเภทอื่น ๆ รวมทั้งต่อสู้กับคน ซึ่งในสมัยโบราณเป็นสุนัขที่ใช้ในกีฬาต่อสู้กับวัว โดยลักษณะต่าง ๆ จะแตกต่างจากในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ต่อมาจึงมีกฎหมายยกเลิกกีฬาประเภทนี้ โดยอเมริกัน พิตบูล เกิดจากการผสมระหว่างสุนัขพันธุ์บูลด็อกโบราณตัวที่แข็งแกร่ง ปราดเปรียว อดทนและดุดันที่สุด กับสุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์ ตัวที่กล้าหาญและล่าเหยื่อเก่งที่สุด จึงได้เป็นสุนัขนักสู้ที่แข็งแรง ทรหด และว่องไว เรียกว่า Staffordshire Bull Terrier และกลายมาเป็น อเมริกัน พิตบูล เทอร์เรียร์ ในที่สุด
ทั้งนี้ อเมริกัน พิตบูล มีความสูงประมาณ 46-56 เซนติเมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ย 14-36 กิโลกรัม และช่วงอายุราว 12 ปี
3. ไชนีส เครสเตด (Chinese Crested)
ไชนีส เครสเตด จัดเป็นสุนัขขนาดเล็ก มีความร่าเริงและว่องไว มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ พันธุ์ที่มีขนทั้งตัว และขนที่หน้าจะเป็นสีขาว ถือเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของจีน ต่อมาได้มีการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์มีขน กับสุนัขพันธุ์ American Hairless Dog จึงได้เป็นพันธุ์ที่ไม่มีขน ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ จะมีเฉพาะขนบริเวณหู ปลายหาง และปลายขา
ทั้งนี้ ไชนีส เครสเตด ทั้ง 2 ชนิด จะมีลักษณะที่เหมือนกันคือ ดวงตากลมโต หูตั้ง โดยเฉพาะขนบริเวณหูจะยาวย้อยลงมา มีความสูงประมาณ 22-33 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 2 - 5.5 กิโลกรัม ช่วงอายุ 12-14 ปี
4. เชาว์ เชาว์ (Chow Chow)
เชาว์ เชาว์ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เชื่อกันว่าเป็นสุนัขดั้งเดิม ซึ่งเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์แห่งทิเบต และซามอย จากตอนเหนือของไซบีเรีย ทั้งยังเชื่อว่า เป็นสุนัขต้นแบบของสุนัขขนฟูทั่วไป เช่น ชิสุ ชาไป่ร์ ปักกิ่ง และปอมเมอเรเนียน
ในสมัยมองโกเลียและแมนจูเรีย นิยมนำเนื้อ เชาว์ เชาว์ มาทำเป็นอาหารรับประทาน ส่วนหนังและขนนำมาทำเป็นเสื้ผ้ากันหนาว ต่อมาจึงถูกใช้ในการล่าสัตว์ และนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อนในที่สุด
ลักษณะเด่นของ เชาว์ เชาว์ อยู่ที่ลิ้นสีดำปนน้ำเงิน ซึ่งเป็นเพียงสายพันธุ์เดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ ทั้งยังมีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศและล่าสัตว์เก่ง ทั้งนี้ เชาว์ เชาว์ มีความสูงประมาณ 46-56 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 20-32 กิโลกรัม และช่วงอายุ 11-12 ปี
5. เกรท เดน (Great Dane)
เชื่อกันว่า ต้นตระกูลของสุนัข เกรท เดน เกิดจากสุนัขสายพันธุ์ เกรย์ฮาวนด์ ของประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ไปผสมข้ามสายพันธุ์กับสุนัขพันธุ์แท้สายพันธุ์อื่น ๆ รวมถึงกับสุนัขพันทางจนกลายมาเป็นสุนัข เกรทเดน ที่มีลักษณะเฉกเช่นในปัจจุบัน สุนัขพันธุ์นี้ อาจเรียกวา German Mastiff ก็ได้ เกรท เดน เป็นสุนัขที่มีขนาดใหญ่ ตัวสูงที่สุด ร่างกายแข็งแรงและปราดเปรียว ปกติมีนิสัยรักสงบ แต่เมื่ออกล่าก็แข็งแรงดุดัน ทรงพลัง จนถูกยกย่องให้เป็น "King of The Dogs"
ในอดีตนิยมนำสุนัขสายพันธุ์นี้ไปใช้ในยามสงคราม แต่ต่อมาได้พัฒนาสำหรับใช้ประโยชน์ในการล่าสัตว์ จำพวกหมูป่า สิงโต ทว่าในปัจจุบัน พวกมันได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ใจดี นิสัยไม่ก้าวร้าว ขี้เล่น ซุกซน และรักเด็ก
ขนาดความสูงของ เกรท เดน จะอยู่ที่ประมาณ 76-100 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 46-54 กิโลกรัม มีอายุขัยเฉลี่ย 9-10 ปี
6. เกรท ไพรีนีส (Great Pyrenees)
ชื่อจริง ๆ ของพวกมันก็คือ Pyrenean Mountain Dog โดยตั้งตามถิ่นฐานต้นกำเนิดของพวกมัน ซึ่งอยู่ในบริเวณรอบ ๆ เทือกเขาไพรีนีส ที่ ทอดตัวเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศสเปนและฝรั่งเศส สันนิษฐานว่า บรรพบุรุษดั้งเดิมของพวกมันน่าจะเป็นสุนัขตระกูล Mastiff ในประเทศสเปน ซึ่งได้ผสมข้ามสายพันธุ์กับสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จนกลายเป็น เกรท ไพรีนีส ที่สูงใหญ่ ทรงพละกำลัง และสง่างาม
นอกจากนั้น ยังเชื่อกันด้วยว่า สายเลือดของ เกรท ไพรีนีส เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสุนัขที่มีขนาดใหญ่อีกหลายสายพันธุ์ในแถบยุโรป ไม่ว่าจะเป็น Italian Maremma ในประเทศอิตาลี, Hungarian Kuvasz ในประเทศฮังการี, Slovakian Kuvac ในประเทศสโลวาเกีย รวมถึงพันธุ์ Turkish Karabash ของประเทศตุรกี อีกด้วย
ในอดีตนิยมเลี้ยง เกรท ไพรีนีส ไว้เพื่อช่วยดูแลฝูงแกะ แต่ปัจจุบันมักจะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน หรือเป็นยามเฝ้าระวังมากกว่า ขนาดความสูงโดยเฉลี่ยของสุนัขสายพันธุ์นี้จะอยู่ที่ 65-81 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 45-60 กิโลกรัม อายุขัยโดยเฉลี่ย 9-11 ปี
7. โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก (Old English Sheepdog)
โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก ถูกค้นพบใน Great Britain เมื่อประมาณปี ค.ศ.1800 โดยขณะนั้นรู้จักกันในนาม Bob หรือ Bobtail เนื่องจากแต่เดิมของสุนัขพันธุ์นี้ จะมีหางที่ยาวมาก แต่สมัยนั้นเขานิยมตัดหางของมันให้สั้นแบบหางเรือ
สุนัขสายพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่ซุกซน ขี้เล่น อารมณ์ดี และฉลาดมาก ทั้งยังเป็นสุนัขอารักขาได้เป็นอย่รางดี แต่เดิมนิยมเลี้ยงไว้เพื่อช่วยต้อนฝูงแกะ ทว่าในปัจจุบันนิยมเลี้ยงไว้เพื่อประกวดความสวยงาม โดยในปี ค.ศ.1961 สุนัขสายพันธุ์นี้ ได้มีโอกาสเป็นนายแบบให้กับบริษัทสีทาบ้าน ICI Dulux และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็กลายเป็นลักษณ์ของสียี่ห้อนี้มาโดยตลอด จนเป็นที่ติดตาของคนทั่วโลก
โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก จะมีขนาดความสูงอยู่ที่ 56-61 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 29.5-30.5 กิโลกรัม และมีอายุอยู่ในช่วง 12-13 ปี
8. Standard Poodle
จากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีการค้นพบ ทำให้เชื่อกันว่า สุนัข poodle มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมนี โดยในภาษาเยอรมันจะเรียกขานกันว่า Pudel หรือ Pudelin มีความหมายว่า "กระโจนลงน้ำ" พวกมันสืบเชื้อสายมาจากสุนัขสายพันธุ์ Water Retriever จึงทำให้มีความสามารถในการว่ายน้ำได้เป็นอย่างดี
ในอดีตนอกจากจะใช้ประโยชน์ในการให้ไปหาแหล่งน้ำแล้ว ยังใช้ให้มันไปคาบนกเป็ดน้ำที่ถูกยิงตกอีกด้วย และในบางครั้งก็ใช้เป็นสุนัขเฝ้ายาม ต่อมาเมื่อมีการแพร่หลายเข้าไปในประเทศฝรั่งเศสจึงได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ ให้มีขนาดเล็กลง โดยในฝรั่งเศสพวกมันถูกเรียกว่า Caniche ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า Chien Canard แปลว่า สุนัขล่าเป็ด และในประเทศฝรั่งเศสนี้เอง ที่พวกมันได้รับความนิยมอย่างสูง จนได้รับการยกย่องให้เป็นสุนัขประจำชาติเลยทีเดียว
ในเวลาต่อมา สุนัขสายพันธุ์นี้ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดที่เล็กลง กลายเป็น Miniature Poodle และ Toy Poodle ตามลำดับ ทุกวันนี้ผู้เลี้ยงพูเดิ้ลนิยมเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ไว้เป็นเพื่อน และได้มีการออกแบบทรงขนใหม่ ๆ ให้แก่พวกมันอย่างมากมาย ต่างจากในยุคสมัยดั้งเดิม ที่ผู้เลี้ยงมักไม่ใส่ใจเรื่องทรงขนของมันมากนัก เพราะเลี้ยงไว้ใช้งานเป็นหลัก
9. ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff)
สุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ เป็นสุนัขสายพันธุ์โบราณ มีความสูงประมาณ 61-71 เซนติเมตร น้ำหนักตัวอยู่ที่ 64-82 กิโลกรัม อายุขัยเฉลี่ย 10-11 ปี สุนัขสายพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย และบริเวณที่ราบของเอเชียกลาง โดยจะมีขนสองชั้นเพื่อปกป้องร่างกายจากความหนาวเย็น
ในภาษาทิเบตเรียกขนพวกมันว่า Do-kyyi แปลว่า สุนัขที่ต้องผูกไว้ เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้มีนิสัยหวงถิ่นมาก มีความดุร้าย ตัวสูงเกือบเท่าลา เสียงขู่คำรามดังกึกก้องและยังมีขนเป็นแผงคอดุจดังสิงโต ทั้งยังกล้าหาญและแข็งแกร่งเป็นที่สุด ชาวทิเบตนิยมเลี้ยงเอาไว้เพื่อใช้ต่อสู้กับหมีและเสือที่บุกเข้ามากินฝูงแกะ แพะ และจามรีของพวกเขา
ปัจจุบันสุนัขพันธุ์นี้ได้กลายเป็นสุนัขที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก โดยในปี ค.ศ.2009 ได้มีเศรษฐีชาวจีนคนหนึ่งซื้อสุนัขพันธุ์นี้ไปเลี้ยงในราคาสูงถึง 6 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20 ล้านบาท ทั้งยังจัดขบวนรถหรูกว่า 30 คันไปรอรับมันที่สนามบิน จนเป็นข่าวดังกระฉ่อนไปทั่วโลก ทั้งนี้ เชื่อกันว่า สุนัข ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ อาจจะเป็นต้นกำเนิดของสุนัขตระกูลมาสทิฟฟ์ในยุโรป อีกด้วย โดยอาจแพร่หลายไปพร้อมกับกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราช
10. โคมอนดอร์ (Komondor)
สุนัขพันธุ์ โคมอนดอร์ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในประเทศฮังการี เมื่อประมาณปี ค.ศ.800 แต่เชื่อกันว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพวกมันน่าจะอยู่ทางตอนใต้ของประเทศรัส เซีย จากนั้นจึงค่อยแพร่หลายเข้าไปในประเทศฮังการี ทั้งชาวรัสเซียนและชาวฮังกาเรียน นิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ไว้เพื่อช่วยควบคุมฝูงปศุสัตว์ และปกป้องฝูงสัตว์จากบรรดาสัตว์นักล่า
ทั้งนี้ ตามประวัติศาสตร์ของฮังการี โคมอนดอร์ ถือว่าเป็น ราชาแห่งสัตว์ทั้งปวงในฮังการี เลยทีเดียว โดยมีขนาดความสูงอยู่ที่ประมาณ 65-90 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 36-61 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยอยู่ราว 12 ปี
ลักษณะพิเศษของสุนัขพันธุ์นี้ คือ มีขนเป็นปึก หรือพันกันเป็นเกลียว แลดูเหมือนไม้ถูพื้น ดูเผิน ๆ จะคล้ายสุนัข พูลิ แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ขนหนาของพวกมันมีประโยชน์ในการใช้เป็นเกราะป้องกันความหนาวเย็น และยังสามารถช่วยพรางตาจากคู่ต่อสู้ เช่น หมาป่า โคโยตี้ หรือหมาจิ้งจอกที่จะมากินฝูงแกะอีกด้วย
เส้นของสุนัข โคมอนดอร์ จะเริ่มจับกันเป็นกลุ่มเมื่ออายุได้ราว 6-9 เดือน และจะม้วนเต็มที่เมื่อมีอายุ 2 ปี โดยที่ขนของพวกมันจะยาวจนถึงเท้า อย่างไรก็ตาม ขนที่ยาว หนา และม้วนของมันอาจกลายเป็นที่เก็บสิ่งสกปรก ที่แฝงตัวของเห็บหมัด รวมทั้งแมลงอื่น ๆ ได้ จึงต้องคอยช่วยดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยหมั่นแกะเส้นขนที่เป็นกระจุกให้คลายออกเป็นเส้น ๆ ไล่ไปตามลักษณะของเกลียว และกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่ติดอยู่ในเส้นขนออกไป
รวม 10 สถานที่สุดแปลกบนโลกที่แปลกซะจนน่าไปเที่ยว ^_^



ช่วงต้น-ปลายสัปดาห์นี้เรียกได้ว่ามีเหตุการณ์ต่างๆนาๆมากมายเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะสร้างความตึงเครียดให้หลายๆคน ส่วนเรื่องอะไรบ้างนั้นคงรู้ๆกันอยู่และไม่อยากพูดถึงเพราะเรื่องเหล่านั้น ก็ค่อนข้างที่จะอ่อนไหว เกรงว่าจะเกิดราม่าเอาได้ อิอิ ยังไงซะวันนี้เป็นคอลัมพ์ประจำวันศุกร์คือศุกร์หรรษา ผมก็เลยนำเอาสถานที่สุดแปลกบนโลก ซึ่งไม่คาดคิดว่ามันจะมีอยู่บนโลกนี้มากฝากกันและหลากหลายสถานที่ก็มีความ ลึกลับซ่อนเร้นเค้นหาคำตอบและความจริงไม่ได้ เผื่อว่าจะช่วยลดความตึงเครียดของใครหลายๆคนได้ ^_^....
1. หินจอมดริฟแห่งชายหาด " Racetrack Playa "
หินจอมดริฟนี้มีชื่อเต็มว่า " Sailing Stones " เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนี่ย อยู่ในอุทยานแห่งชาติ เดท วิลลี้ย์ ( Deat Valley ) โดยลักษณะคือ มีก้อนหินที่มีรอยลากเหมือนมันกำลังเคลื่อนที่มาเป็นทางยาว ซึ่งพื้นที่บริเวณนั้นเป็นแอ่งทะเลสาป พื้นดินมีสภาพเป็นดินเหนียวอ่อนๆ ประกอบจากดินเหนียวและตะกอนต่างๆ บริเวณที่เกิดรอยนั้นไม่พบรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตใดๆ
สิ่งที่ทำให้ผมตั้งชื่อเจ้าหินประหลาดแห่งหาดเรสแืทร็คแห่งนี้ว่าหินจอ มดริฟคือลักษณะการเคลื่อนที่ของมันในบางช่วงนั้นเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งซึ่ง คล้ายการเข้าช่วงโค้งในการดริฟ ซึ่งสาเหตุของการเคลื่อนที่เองของหินเหล่านี้มีหลายสาเหตุแต่ยังคงเป็นเป็น เพียงทฤษฏีเชิงสมมุติฐานอยู่ มี 2 ทฤษฏี คือ 1. เกิดจากการพัดของลม 2. เกิดจากชั้นน้ำแข็งบางๆใต้ก้อนหินโดนลมพัดส่งผลให้ตัวก้อนหินนั้นเกิดการ สไลด์ตัวออกไปเรื่อยๆ โดยปรากฏการหินเคลื่อนที่นี้มักจะเกิดขึ้นทุกๆ 2-3 ปี และการเคลื่อนที่ของมันั้นจะใช้เวลาประมา๊ณ 3-4 ปี ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ความจริงว่าการเคลื่อนที่ของมันเกิดขึ้นจาก ธรรมชาติ ? สัตว์ หรือใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างให้เราแปลกใจเล่นอยู่ ?
(ขอบคุณข้อมูลจากบอร์ด postjung.com ครับผม )

2. ดินแดนน้ำตกสรวงสวรรค์ นกอีก๋อย ลูกเสือเตี้ยป้อมและความฝันของปูคาร์ล " Mount Roraima "
หากใครเคยดูอนิเมะชั่นเรื่ีอง " UP ปู่ซ่าบ้าพลัง " คำร้องอ๋อเมื่อเห็นสถานที่นี้ ซึ่งในเนื้อเรื่องนั้นจะกล่าวถึงการเดินทางร่วมกันของ " รัสเซิล " ลูกเสือสำรองตัวอ้วน กับ " คาร์ล เฟร็ดดิกเซนต์ " ชายแก่ขี้บ่น ขี้วีน ที่มีความฝันที่อยากจะเดินทางไปยัง " น้ำตกสรวงสวรรค์ " กับ " เอลลี่ " ภรรยาผู้ล่วงลับตามคำสัญญาร่วมกัน พร้อมกันนั้น มีนกประจำถิ่นอย่าง " นกอีก๋อย หรือ เคลวิน " นกยักที่รัสเซิลพบบนสถานที่แห่งนี้ หลายคนอาจจะคคิดว่าว่น้ำตกสร้วงสวรรค์หรือดินแดนที่ปู่คาร์ลไปนั้นอาจจะมี อยู่แค่ในการ์ตูน แต่ความจริงแล้ว ดินแดนแห่งนี้มีอยู่จริง!



จริงๆจะเรียกว่าเหมือนในแอนเ้มชั่นอาจจะไม่ถูก ต้องเรียกว่าเกือบจะใช่เลยก็ว่าได้ ชื่อจริงของดินแดนแห่งนี้มีชื่อว่ายอดเขา " Mount Roraima (โรลาห์ อิม่า) " โดยยอดเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ที่อเมริกาใต้ พื้นที่นั้นมีขนาดครอบคลุม 3 ประเทศด้วยกัน คือ บราซิล เวเนซุเอลาและกียานา การเกิดยอดเขานี้มีการตั้งสมมุติฐานว่าอาจจะเกิดจากการกัดเซา่ะของลมและฝน ยอดเขาแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่เก่าแก่ที่สุดจากเกิดจากการก่้อ ตัวทางธรณีวิทยา และสิ่งที่น่าสนใจวมากกว่านั้นคือมีการกล่าวว่าทีั่แห่งนี้มีสัตว์ประจำถิ่น อยู่ซึ่งดำรงชีวิตอยู่บนนี้มานาน อ๊ะ หรือว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะเป็นเจ้าตัวนี้.... (ขอบงคุณข้อมูลจากบล็อค 401g04.blogspot ครับผม )


3. ปลายทางของแม่้น้ำซันสึ " The Door To hell "
แม่น้ำซันสึ เป็นชื่อของแม่น้ำที่ว่ากันว่า้เป็นเส้นทางลำเลียงดวงวิญญาณไปสู่ " นรก " ตรามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ซึ่งปลายทางของมันนั้นอาจจะเป็นที่นี่ " The Door To Hell "
จริงๆแล้วที่นี่ไม่ใช่ประตูไปนรกจริงๆแต่อย่างใดนะครับ แต่คำว่าประตูนรกนั้นเป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยกันเฉยๆ โดยสภาพของมันั้นเป็นหลุมขนาดใหญ่ในประเทศเติร์กเมนิสถาน ภายในหลุมนั้นเต็มไปด้วยแสงไฟจากการเผาไหม้ก๊าซอันร้อนระอุดั่งขุมนรก เหตุที่มันมีการเผาไหม้อย่างนี้เ้เป็นเพราะว่าการเผาไหม้ก๊าซในบริเวณนั้น ซึีงการเผาไหม้นี้ดำเนินมานานถึง 40 ปีแล้ว ( หลายชั่วอายุคนเลยนะนั่น ) แถมยังทรา่บว่าจริงๆแล้วการเกิดการเผาไหม้นี้เป็นฝีมือของนัีกธรณีวิทยาที่ ต้องเผาไหม้ก๊าซในบริเวณนั้นให้หมดไปในการขุดเจาะ แต่มันก็ลุกโชนมาจนถึงปัจจุบัน ( ซวยแท้เหลา )
ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่ประตูนรกที่แท้จริง แต่ถ้าโดดลงไปนี่อาจจะไปสู่นรกที่แท้จริงแน่ๆ =_= พูดละเสียว ไปสถานที่ต่อไปดีกว่า (ขอบคุณข้อมูลจาก วิชาการธรณีไทย.Com ครับผม )


4. แม่น้ำสีน้ำชา " Rio Tinto "
พูดถึงน้ำชาหลายท่านคนนึกถึงน้ำสกัดจากใบชาชนิดต่างๆ สีนั้นจะแตกต่างกันออกไปแต่ถ้าเป็นออริจินอลจริงๆคือ " สีแดงอมน้ำตาล " ที่นี่ก็มีเหมือนกัน แถมมีเยอะเ้ป็นแม่น้ำเลยทีเดียว สถานทีท่แห่งนี้คือ " Rio Tinto ( ริโอ ตินโต ) "
ที่บอกว่ามันเป็นน้ำชาเพราะสีของน้ำนั้นมีสีแดงอมน้ำตาลเหมือนน้ำชาที่ เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ แม่น้ำสายนี้อยู่ในประเทศสเปน มันไหลออกมาจากเหมืองแร่ที่มีการขุดเจาะมานานนับศตวรรษจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ และด้วยเหตุนี้เองทำให้มีแร่ธาตุนั้นไหลปะปนออกมากับน้ำด้วย ส่งผลให้น้ำนั้นมีสีแดงนั่นเอง หากใครมีโอกาศไปก็อย แหะๆ (ล้อเล่นนะครับ) (ขอขอบคุณข้อมูลจาก travel.thaiza.com ครับผม )

5. ดินแดนสนธยา " Socotra "
โซโคตรา เป็นเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยพรรณไม้แปลกๆมากมาย พร้อมกันนั้นยังสัตว์แปลกๆมากมายอาศัยอยู่ด้วย
โซโคตรานั้นเป็นเกาะขนาดใหญ่ มีเนื้อที่หลักๆอยู่ประมาณ 95 % อีก 5 เปอร์เ็ซ็นที่เหลือนั้นเป็นหมู่เกาะเล็กๆแยกออกไป เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นอนาเขตการปกครองของมหาประืเทศเยเมน ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเกาะนั้นมีื้นทีเป็นภูเขาสลับที่ราบสูง สิ่งที่แปลกตาคือ พืชพรรณต่างๆนั้นไม่เหมือนกับต้นไม้ทั่วๆไป เช่น ต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายต้นชวนชมบ้านเีรา่ หรือต้น " เลือดมังกร " ต้นไม้ขนาดใหญ่มีการแผ่กิ่งก้านออกเป็นรูปทรงของร่ม นอกจากนี้ยังมีทั้งสัตว์ที่มีลักษณะแตกต่างจากสัตว์ทั่วๆไปที่เราเห็นโดย สิ้นเชิง และไม่อาจพบได้ตามง่ายเพราะมีที่นี่ที่เดียว!


6. สามเหลี่มจอมเขมือบ !!! " Bermuda "
สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นปัญหาโลกแตกของบรรดานักธรีณีวิทยา หรือนักสิทยาศาสตร์ทั้งหลายแหล่ ที่พยายามค้นหาว่าสรุปแล้วเจ้าพื้นทะเลสามเหลี่ยมแห่งนี้มันมีอำนาจจากอะไร กันแน่ที่สามารถดึงดูดเรือ เครื่องบินหรืออะไรก็แล้วแต่ให้จมดิ่งลงสู่ท้องทะเลได้ด้วยพายุ ทันทีที่เดินเข้าสู่บริเวณสามเหลี่ยมแห่งนี้
หลายคนอาจจะเคยได้ยินและได้เห็นเรื่องราวความน่าสะพรึงกลัวของ " สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า " ที่ว่ากันว่า เมื่อมีสิ่งใดก็ตามโดยเฉพาะเรือหรือเครื่องบินแล่นเข้าสู่พื้นที่แห่งนี้ จากที่ท้องฟ้าแจ่มใส่ไร้ภัยจะกลับกลายเป็นว่าเกิดพายุลูกใหญ่ก่อนที่มันจะ ดูดกลืน เขมือบและบดขยี้แล้วดึงสิ่งนั้นลงสู่กิ้นทะเลในบิรเวณนั้นในเวลาต่อมาเหมือน ปลาหมึกที่ตะวัดหนวรัดเหยื่อแล้วดึงมากินอย่างสบายใจเฉิบแล้วทิ้งซากลง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมีการตั้งสมมุติฐานและทฤษฏีต่างๆขึ้นมา แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครอธิบายได้แน่ชัดเจนแจ่มแจ้งวง่ารมันเกิดจากอะ ัไรกันแน่ =_=( ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia ครับผม )


7. ณ ที่แห่งนี้ แรงโน้มถ่วงไม่มีอำนาจ " Mystery Spot "
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกมาก แถมสามารถเข้าไปสำผัสความแปลกได้ด้วยตัวเองได้ด้วย ที่นี่มือชื่อว่า " Mystery Spot "
Mystery Spot นั้นตั้งอยู่ใกล้ๆกับเมืองซานตาครูซ รัฐแคร์ลิฟอรฺ์เนีย ที่บอกว่าแปลกนั่นก็คือ ที่นี่นั้นมีลักษณะอย่างกับว่าแรงโน้มถ่วงไม่มีอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่นั้นจะทำไห้คนอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักนะครับ เพียงแต่ว่า การวางตัวของสิ่งปลูกสร้างต่างๆนั้นจะอยู่ในแนวราบ แต่าการมองเห็นนั้นจะอยู่ในแนวเอียง และเช่นเคยยังไม่มีทฤษฏีไหนบ่งบอกถึงความจริงได้ชัดเจนอีกเช่นกัน ไม่รู้ว่าที่นี่เกิดจากธรรมชาติหรือเป็นเพียงการเล่นกลหลอกตากันแน่ ใครอยากลองก็เชิญไปสำผัสกันดูได้ครับผม

8. เกาะแห่งชายแปลกหน้า " Easter Island "
นับเป็นสถานที่ที่ดูพิศวงไม่แพ้สถานที่อื่นๆที่กล่าวมาก ความพิศวงของมันนั้นเห็นได้ชัีดเจนคือรูปปั้นคล้ายคนขนาดมหึมาปริศนาที่คาด ว่าเกิดจากการแกะสลัก สิ่งที่น่าแปลกและน่าสงสัยคือ "จุดประสงค์ของมันคืออะไร มันมาได้ยังไง แล้วใครเป็นคนทำ และมนุษย์ยุคก่อนนั้นใช้เทคนิคหรือเทคโนโลยีอะไรในการเคลื่อนย้ายมันมา่ที่ นี่ "


" โมอาย " เป็นชื่อเรียกที่ถูกตั้งขึ้นของบรรดารูปแกะสลักหินอันใหญ่โตที่วางตั้งเรียง รายอยุ่บนเกาะอิสเตอร์ มีการกล่าวว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการขุดเจาะไปถึงรากเง่าของคนบนเกาะอิสเตอร์ถึงระดบัผ ู้เฒ่าผู้แก่เรื่องโมอาย ซึุ่งได้รับคำตอบมาว่า " มันเดินลงมาเอง " (หา!! หินเดินได้ ) ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อแน่นอน และที่สำคัญสิ่งที่น่าสสงสัยไปกว่านั้นคือเขาใช้อะไรในการแกะสลัีกหินที่มี ความแข็งแรงขนาดนี้กัน แถมไม่ใช่แค่แกะสลักตัวเดียวดันไปสลักเอาทั่วเกาะ รวมแล้วประมาณ 900 ตัว ( ถ้า 1 ตัวคงใช้เวลานานเป็นปี นี่เก้าร้อยตัวไม่ใช้เวลาเป็นร้อยปีเลยหรือ ) ซึ่งตออนนี้ได้มีการสรุปออกมาแล้วว่าเจ้าโมอายนั้นเกิดจากการแกะสลักของชน เผ่าเดิมบนเกาะหรือชาวโพลีโนเชียน โดยใช้หินภูเขาไฟในการแกะสลักซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าหินที่ใช้เป้นหุ่นของ โมอายนั่นเอง ( ข้อมูลจาก tumnandd.com )

9. น้ำพุร้อนสีรุ้ง " Grand Pismatic "
พูดถึงบ่อน้ำพุร้อนสีรุ้งทั่วๆไป หลายคนคงนึกภาพบ่อน้ำใหญ่ๆ มีน้ำอุ่น - ร้อน บางที่ร้อนจนสามารถต้ม " ไข่ตุ้ม (ขอตามกระแสลำยองหน่อย ฮิฮิ ) " ได้เลยทีเดียว แต่ที่นี่ จะเปลี่ยนอิมเมจเหล่านั้นของคุณไปโดยปริยาย ไม่มีแอ่งหรือบ่อที่มีแต่โขดหินธรรมด แต่ที่นี่เป็น " สีรุ้ง " ภายใต้ชื่อ " Grand Pismatic "


เจ้าบ่อน้ำร้อนแห่งนยี้มีสถิติที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ของโลกอันดับ 3 บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ลัุกษณะของแกรนด์ พิสเมติก นั้นจะเป็นบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ใจกลางพื้นที่ราบ ตัวน้ำกลางบ่อนั้นจะมีสีฟ้ารอบๆบริเวณบ่อนั้นจะเป็นสีส้มเข้มและสลับกับ เหลือง สาเหตุที่มันมีสีที่แตกต่ีางกันออกไปนั้น นักวิทยาศาสตร์กล่าาวว่า อาจจะเป็นเพราะแบคทีเรียในบริเวณนั้นเจริญเติบโตได้เร็วมีจำนวนมาก แถมในบริเวณนั้นมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มาก ส่งผลให้บริเวณพื้นที่นั้นเป็นสีส้มนั่นเอง ( กรณีนี้เหมือนน้ำสีแดงของ ริโอ ตินโต ) ถ้าหากถ่ายรูปในมุมมองต่างๆจะได้ภาพที่สวยงามมากเลยทีเดียว

10. สะพานทรายข้ามสมุทร " ทะเลแหวก "
พาไปอันซีนเมืองนอกซะเยอะแล้วขอพามาอเมซิ่งอินไทยแลนด์ปิดท้ายกันบ้างกับ " ทะเลแหวก " ในจังหวัดกระบี่ ทะเลแหวกนั้นเป็นปรากฏการทางธรรมชาติที่มีความเกี่ยวพันกัีบปรากฏการน้ำขึ้น น้ำลงซึ่งส่งผลให้สันทรายนั้นได้ปรากฏขึ้นมา สันทรายเหล่านี้นั้นเชื่อมต่อกับเกาัะ 3 เกาะั ได้แก่ เกาะทับ เกาะหม้อและเกาะไก่ ซึ่งเมื่อสันทราบปรากฏขึ้น สามารถเดินบนสันทรายไปยังเกาะต่างๆได้ เหมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างกัน แต่ะว่าทะเลแหวกก็มีเวลาทำการนะครับซึ่งจะเป็นเวลาตามะรรมชาติ โดยจะเปิดทุกๆก่อนและหลัง 15 ค่ำประมาน 5 วัน ( ขอขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com ครับผม )



ปล.ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจากแหล้งใหญ่อย่าง " Google.co.th " ครับผม (จำเว็ปที่ก๊อปรูปมาไม่ได้ได้ครับ ^_^ ขออภัยด้วย )
Thank You For Pictur From Google.co.th Seach Engin
วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ชื่อแปลก แปลก 55
เรามาดูว่าจะแปลก จะฮาและสนุกไปกับไอเดียการตั้งชื่อชวนขำกันขนาดไหน
1.
ถ้าให้เดา ที่นี่อาจเป็นที่พวกคุณชายทั้งหลายไม่ชอบมากที่สุด
ทำไมน่ะหรอ ?? ดูชื่อหน้าผาสิ เสี่ยวซะขนาดนั้น ว่ามะๆๆ กลัวกันมั่งปะคุณผู้ชายทั้งหลาย อิอิ ^^
2.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด อยากจะกรี๊ดเป็นภาษาบัลแกเรียเสียจริง
ไม่คิดว่าจะมีชื่อหมู่บ้านที่น่าอยู่อะไรเช่นนี้ 555
ใครอยากลองโดน......ก็ลองไปสัมผัสบรรยากาศดูนะ คริๆ
(ล้อเล่นนะ ขำๆ คริๆ)
3.
ไม่ไหวจะเคลียร์นะจ๊ะ ขอบอก....
ส่วนภาพนี้ ถ้าอ่านดีดีก็อ่านว่า"เลียบ-นะ-ที"ใช่ปะ ??
แต่ถ้าโรคจิตหรือช่างคิดเสียจริงมันอ่าน...
มันก็จะอ่านว่า..."เลีย-บน-ที" !!! ดูมันๆ
ข้างบนไม่เท่าไหร่นะ อ.กันทรลักษณ์เออ โอเค แต่ว่าข้างล่างนี่สิ...
4.
5.
อันนี้ก็...จะประกาศทำไมมิทราบ
เออรู้แล้วว่ามีกะตัง แหม๊ ดูตั้งเข้าสิ....- -*
มามา ต่อกันเลยนะ ..........................
6.
หมู่บ้านนี้ถ้าอยู่แล้วอาจ"แห้ว"ได้ เพราะชื่อนี่มิมงคลเอาเสียเลยนะจ๊ะ โถๆๆ ตั้งไปได้"บ.ท่าจะแห้ว"
สงสารคนอยู่ชะมัด 5555++(ล้อเล่นน่า ขำๆ)
7.
โอ่ยยย เกิดอะไรขึ้นกับซอยนี้เนี่ยยยย
อันนี้ที่หัวหินนะ ไปเจอมา ไม่ไหวอีกแหละ
"ซอยแพร่พันธุ์" อุ๊ยตาย ! ชะนีตาลุกกันแถวเลย อิอิ
(ล้อเล่นนะจ๊ะ ^^)
8.
ป๊าดดดดดดดดดดดดด ชื่อ ช่างตั้งกันจริง เชื่อเขาเลย ดูสิคร้าบบบ
หนึ่ง - เฮ้ย ! เอ็งจะไปไหนวะ ?
สอง - เออ ข้าไปบ้านน้ำออกรู...
รู้สึกดีขึ้นไหมจ๊ะ น้ำออกรูเนี่ยยยยยยยยย - -/*
(ล้อเล่นนะ ขำๆ มากไปๆ 555++)
9.
ประวัติของที่นี่จะเกี่ยวกับผู้ชาย ดูสิเธอ...
" แก่งคับพวง " ป๊าดดดดดดดดดดดด
อยู่ที่ไหน ใครก็ได้บอกที จะไปเยี่ยมเยียนยลยิน
ให้เป็นบุญตาซะหน่อย - -* คริๆ
10.
ท่าทางจะชอบดงบังชินกิ กันทั้งหมูบ้าน
ก็เลยมีชื่อหมู่บ้านแบบนี้ให้เห็นกันที่เมืองไทย
ไม่แน่นะที่นี่อาจเป็นศูนย์รวมแฟนคลับดงบังชินกิในภาคอีสานก็ได้ ใครจะไปรู้ คริๆ ?? ^^
คนไทย หนอ คนไทย
ช่างคิดได้เลิศประเสริฐอะไรเช่นนี้นะ... ว่าไหม ??
1.

ทำไมน่ะหรอ ?? ดูชื่อหน้าผาสิ เสี่ยวซะขนาดนั้น ว่ามะๆๆ กลัวกันมั่งปะคุณผู้ชายทั้งหลาย อิอิ ^^
2.

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด อยากจะกรี๊ดเป็นภาษาบัลแกเรียเสียจริง
ไม่คิดว่าจะมีชื่อหมู่บ้านที่น่าอยู่อะไรเช่นนี้ 555
ใครอยากลองโดน......ก็ลองไปสัมผัสบรรยากาศดูนะ คริๆ
(ล้อเล่นนะ ขำๆ คริๆ)
3.

ไม่ไหวจะเคลียร์นะจ๊ะ ขอบอก....
ส่วนภาพนี้ ถ้าอ่านดีดีก็อ่านว่า"เลียบ-นะ-ที"ใช่ปะ ??
แต่ถ้าโรคจิตหรือช่างคิดเสียจริงมันอ่าน...
มันก็จะอ่านว่า..."เลีย-บน-ที" !!! ดูมันๆ
ข้างบนไม่เท่าไหร่นะ อ.กันทรลักษณ์เออ โอเค แต่ว่าข้างล่างนี่สิ...
4.

5.

อันนี้ก็...จะประกาศทำไมมิทราบ
เออรู้แล้วว่ามีกะตัง แหม๊ ดูตั้งเข้าสิ....- -*
มามา ต่อกันเลยนะ ..........................
6.

หมู่บ้านนี้ถ้าอยู่แล้วอาจ"แห้ว"ได้ เพราะชื่อนี่มิมงคลเอาเสียเลยนะจ๊ะ โถๆๆ ตั้งไปได้"บ.ท่าจะแห้ว"
สงสารคนอยู่ชะมัด 5555++(ล้อเล่นน่า ขำๆ)
7.

โอ่ยยย เกิดอะไรขึ้นกับซอยนี้เนี่ยยยย
อันนี้ที่หัวหินนะ ไปเจอมา ไม่ไหวอีกแหละ
"ซอยแพร่พันธุ์" อุ๊ยตาย ! ชะนีตาลุกกันแถวเลย อิอิ
(ล้อเล่นนะจ๊ะ ^^)
8.

ป๊าดดดดดดดดดดดดด ชื่อ ช่างตั้งกันจริง เชื่อเขาเลย ดูสิคร้าบบบ
หนึ่ง - เฮ้ย ! เอ็งจะไปไหนวะ ?
สอง - เออ ข้าไปบ้านน้ำออกรู...
รู้สึกดีขึ้นไหมจ๊ะ น้ำออกรูเนี่ยยยยยยยยย - -/*
(ล้อเล่นนะ ขำๆ มากไปๆ 555++)
9.

ประวัติของที่นี่จะเกี่ยวกับผู้ชาย ดูสิเธอ...
" แก่งคับพวง " ป๊าดดดดดดดดดดดด
อยู่ที่ไหน ใครก็ได้บอกที จะไปเยี่ยมเยียนยลยิน
ให้เป็นบุญตาซะหน่อย - -* คริๆ
10.

ท่าทางจะชอบดงบังชินกิ กันทั้งหมูบ้าน
ก็เลยมีชื่อหมู่บ้านแบบนี้ให้เห็นกันที่เมืองไทย
ไม่แน่นะที่นี่อาจเป็นศูนย์รวมแฟนคลับดงบังชินกิในภาคอีสานก็ได้ ใครจะไปรู้ คริๆ ?? ^^
คนไทย หนอ คนไทย
ช่างคิดได้เลิศประเสริฐอะไรเช่นนี้นะ... ว่าไหม ??
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)